
ทฤษฎีดาว Dow Theory คืออะไร ? หนึ่งในทฤษฎีที่โด่งดังที่สุด หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่สนใจเข้ามาหารายได้จากตลาด Forex คุณต้องเรียนรู้เรื่องพื้นฐานมากมายเกี่ยวกับมัน และการซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินเงินนี้คุณก็ต้องมีแนวทางในการทำกำไรในตลาด Forex ที่คุณถนัด อย่างเช่น ผมชอบวิเคราะห์ราคาด้วย ปัจจัยทางเทคนิค (Technical Analysis) ซึ่งมีการวิเคราะห์ด้วยอินดิเคเตอร์ต่างๆ ที่เป็นเครื่องมือหรือตัวชี้วัดที่ช่วยวิเคราะห์ทิศทางของราคาโดยใช้การคำนวณด้วยสูครต่างๆทางคณิตศาสตร์และใช้ในการตัดสินใจซื้อ-ขายได้ ซึ่งเทรดเดอร์บางคนอาจจะถนัดการวิเคราะห์ราคาด้วยปัจจัยพื้นฐานมากกว่าก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคน แต่บทคทความนี้ผมจะพาเทรดเดอร์ทุกๆท่านไปรู้จักกับ ทฤษฎีหนึ่งที่ถือว่าเป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์ราคาด้วย ปัจจัยทางเทคนิค (Technical Analysis) ที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั่นก็คือ ทฤษฎีดาว “Dow Theory” ซึ่งถือเป็นทฤษฎีที่โด่งดังและนิยมมากทั้งในตลาด Forex และในตลาดหุ้น ทฤษฎีดาว Dow Theory จึงเป็นที่รู้จักในตลาดเงินทั่วโลกที่ใช้การวิเคราะห์ราคาด้วย ปัจจัยทางเทคนิค (Technical Analysis) แต่สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ที่ไม่รู้ว่า Dow Theory อะไร? บทความนี้มีคำตอบให้คุณได้เรียนรู้อีกเยอะเลยครับ
ทฤษฎีดาว Dow Theory คืออะไร?
“ทฤษฎีดาว Dow Theory” คือ ทฤษฎีที่มีพื้นฐานของการวิเคราะห์ราคาด้วย ปัจจัยทางเทคนิค (Technical Analysis) ซึ่งมีแนวคิดที่ว่าการขึ้นลงของหุ้นนั้นเหมือนกับน้ำทะเลที่มีขึ้นมีลง อย่างเช่น ช่วงที่น้ำขึ้นคลื่นแต่ละลูกจะถูกซัดเข้าหาฝั่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนช่วงที่น้ำลงคลื่นที่เคยถูกซัดเข้าฝั่งก็จะลดระดับลงเช่นเดียวกัน หมายถึง ถ้าหากราคาหุ้นอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นระยะทางของกราฟราคาจะมีแน้วโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆและสูงกว่าแนวโน้มขาลง และถ้าหากราคาหุ้นอยู่ในแนวโน้มขาลงระยะทางของกราฟราคาจะมีแน้วโน้มต่ำลงเรื่อยๆและต่ำกว่าแนวโน้มขาขึ้น
จากทฤษฎีที่ว่านี้ทำให้มีผู้ที่เชื่อว่า ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave ก็อาจจะเป็นทฤษฎีที่แยกย่อยมาจาก ทฤษฎีดาว Dow Theory แต่รายละเอียดของ ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave นั้นจะมีรายละเอียดที่เยอะกว่า Dow Theory อยู่มากจึงยากต่อการอธิบายในบทความนี้ หากเทรดเดอร์ท่านได้สนใจสามารถเข้าไปอ่านในหัวข้อเรื่อง “ทฤษฎีคลื่น Elliott Wave” ได้เลยครับ
ทฤษฎีดาว Dow Theory นั้นถูกคิดค้นโดยนักวิเคราะห์ทางการเงินและผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal ชื่อ Charles Henry Dow และตัวเขาเองยังคิดค้นดัชนีการวิเคราะห์ตลาดหลักทรัพย์หรืออีกชื่อที่เทรดเดอร์หลายๆคนรู้จักนั่นก็คือ “ดัชนีดาวโจนส์” ของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นและยังเป็นผู้คิดค้นเป็นคนแรกอีกด้วย
ทฤษฎีดาว Dow Theory ได้ถูกแบ่งเป็น 3 แน้วโน้มหลัก ตามระยะเวลา
1. แนวโน้มใหญ่ (Primary Trend)
แนวโน้มใหญ่ (Primary Trend) หรือแนวโน้มระยะยาว ซึ่งแนวโน้มนี้จะใช้เวลา 200 วัน แต่แนวโน้มนี้อาจจะมีระยะเวลาที่ยาวนนมากกว่านั้นมากถึง 4 ปีเลยทีเดียว ส่วนแน้วโน้มใหญ่นี้ก็จะถูกแบ่งเป็นอีก 2 แนวโน้ม ย่อยเหมือนแนวโน้มปรกติ คือ
แนวโน้มขาขึ้น ราคาจะมีรูปแบบการปรับตัวสูงขึ้นโดยลักษณะของแนวโน้มขาขึ้นต้องมีจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าจุดสูงสุดเก่าและจุดต่ำสุดใหม่ต้องสูงกว่าจุดต่ำสุดเก่า แนวโน้มขาขึ้นระยะทางของกราฟราคาจะมีแน้วโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆและสูงกว่าแนวโน้มขาลง
แนวโน้มที่เป็นขาลง ราคาจะมีรูปแบบการปรับตัวที่ต่ำลงโดยลักษณะของแนวโน้มขาลงต้องมีจุดสูงสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเก่าและจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดเก่า แนวโน้มขาลงระยะทางของกราฟราคาจะมีแน้วโน้มต่ำลงเรื่อยๆและต่ำกว่าแนวโน้มขาขึ้น
2. แนวโน้มรอง (intermediate Trend)
แนวโน้มรอง (intermediate Trend) หรือแนวโน้มระยะกลาง ซึ่งแนวโน้มนี้จะเหมือนกับแนวโน้มใหญ่ (Primary Trend) ทุกอย่างแค่ระยะแนวโน้มของแนวโน้มรอง (intermediate Trend)
จะมีระยะเวลาปานกลางใช้เวลา 3 สัปดาห์ หรืออาจจะกินระยะเวลาหลายเดือน
3. แนวโน้มย่อย (Minor Trend)
แนวโน้มย่อย (Minor Trend) หรือแนวโน้มระยะสั้น ซึ่งแนวโน้มนี้จะเหมือนกับแนวโน้ม 2 ข้อที่ผ่านมาทุกอย่าง แต่แตกต่างกันตรงที่แนวโน้มย่อยหรือแนวโน้มระยะสั้นจะใช้เวลาน้อยกว่า 3 สับดาห์
สภาวะตลาดที่เกิดขึ้นในทฤษฎีดาว Dow Theory แบ่งออกเป็น 2 สภาวะ
1. สภาวะตลาดกระทิง (Bull Market) คือ แนวโน้มขาขึ้น (Up Trend) หรือสภาวะตลาดกระทิง ซึ่งที่เรียกว่าตลาดกระทิงก็เพราะว่าตลาดนั้นมีแนวโน้มขาขึ้นเหมือนกับกระทิงขวิดราคาขึ้นไปนั่นเอง จึงถูกเรียกว่าตลาดกระทิง (Bull Market) ส่วนสภาวะกระทิงจะมีช่วงระยะถูกแบ่งเป็น 3 ช่วงด้วยกันได้แก่
- ระยะสะสมหุ้น (Accumulation Phase) คือระยะที่ราคาหุ้นนั้นมีการเคลื่อนไหวน้อยมาก หรือเป็นช่วงแรกที่ราคาเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้น ส่วนมากเทรดเดอร์จะซื้อหุ้นช่วงนี้เก็บไว้เพราะเนื่องจากราคาลงมาค่อนข้างมาก เทรดเดอร์เลยซื้อหุ้นในช่วงนี้ได้ถูกและเก็บไว้เก็งกำไรระยะยาว แต่ยังมีเทรดเดอร์บางคนที่ยังไม่กล้าซื้อหุ้นในระยะนี้
- ระยะกักตุนหุ้น (Participation Phase) คือระยะที่เทรดเดอร์เริ่มรู้แล้วว่าราคาช่วงนี้คือแนวโน้มขาขึ้น ทำให้เทรดเดอร์มั่นใจซื้อหุ้นในระยะนี้กันมากขึ้นกว่าระยะสะสมหุ้นมาก
- ระยะตื่นทอง (Excess Phase) คือระยะที่ราคานั้นเป็นแนวโน้มขาขึ้นหลายวันติดต่อกัน ทำให้เทรดเดอร์มากมายมีความมั่นใจมากในช่วงระยะนี้และรีบซื้อหุ้นกันมากที่สุด ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นนั้นมีการปรับตัวสูงขึ้นหลายเท่า เมื่อราคามีการปรับตัวสูงจนเป็นที่น่าพอใจ เทรดเดอร์บางส่วนก็เริ่มพากันขายหุ้นออกเรื่อยๆ และพอเทรดเดอร์คนอื่นเห็นว่าแนวโน้มอาจมีการเปลี่ยนแปลงจึงพากันรีบขายตาม จึงเกิดเป็นช่วงระยะเริ่มต้นของแนวโน้มขาลง
2. สภาวะตลาดหมี (Bear Market) คือ แนวโน้มขาลง (Down Trend) หรือสภาวะตลาดหมี ซึ่งที่เรียกว่าตลาดหมีก็เพราะว่าตลาดนั้นมีแนวโน้มขาลงเหมือนกับหมีตบราคาลงมานั่นเอง จึงถูกเรียกว่าตลาดหมี (Bear Market) ส่วนสภาวะหมีจะมีช่วงระยะถูกแบ่งเป็น 3 ช่วงเหมือนกับ (Bull Market) ได้แก่
- ระยะแจกจ่าย (Distribution Phase) คือระยะที่ราคาหุ้นนั้นมีการปรับตัวสูงขึ้นมากจากราคาจริงในช่วงที่เทรดเดอร์ซื้อในระยะสะสมหุ้น จึงเป็นช่วงที่เทรดเดอร์พากันขายหุ้นเพื่อทำกำไรกันมาก หรือเป็นช่วงแรกที่ราคาเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มขาลง
- ระยะตกใจ (Panic Phase) คือระยะที่เทรดเดอร์เริ่มรู้แล้วว่าราคาช่วงนี้คือแนวโน้มขาลง จึงทำให้เทรดเดอร์บางส่วนเริ่มพากันขายหุ้นมากกว่าระยะแจกจ่าย และเริ่ม Stop Loss กันมากขึ้นเพราะคิดว่าราคานั้นไปต่อไม่ไหว
- ระยะรวบรวมกำลัง (Consolidation Phase) คือระยะที่ราคานั้นเป็นแนวโน้มขาลงหลายวันติดต่อกันมากที่สุดและเป็นช่วงที่ราคามีราคาต่ำที่สุดอีกด้วย ทำให้เทรดเดอร์มากมายมีการขายเพื่อทำกำไร (Take Profit) และหยุดขาดทุน (Stop Loss) ในระยะนี้